ผลกระทบคือทางคริสตจักรไม่สามารถรักษาโบสถ์ได้หมด เพราะขาดทุน เพราะในประเทศเนเธอร์แลนด์รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนศาสนาโดยเงินตรา จึงเริ่มมีปรากฎการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมเนเธอร์แลนด์ คือ การดัดแปลงโบสถ์เพื่อใช้ในทางอื่น (herbestemming) เป็นร้านขายของบ้าง เป็นห้องสมุดบ้าง โดยที่เทศบาลมีบทบาทสำคัญในการดำเนินการตรงนี้ ทางรัฐไม่อยากให้โบสถ์ร้าง อยากให้มีคนรักษาอาคารต่อ ถึงจะไม่เป็นเรื่องศาสนาก็ตาม อาคารจะได้ไม่เสีย ไม่ทรุดโทรม
ปี 2562 นี้มีนักข่าวสืบสวนกลุ่มหนึ่ง ทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ใหญ่ คือหนังสือพิมพ์ Trouw ได้สำรวจข้อมูลครั้งใหญ่ว่า ในประเทศเนเธอร์แลนด์มีโบสถ์ ...1 ใน 5 ที่ถูกดัดแปลงมาแล้ว (มีทั้งหมด 6900 หลัง ในนั่นมีการดัดแปลงมาแล้ว 1400 หลัง) เมื่อพ.ศ. ปี 2561 มีบาทหลวงชั้นปกครอง (kardinaal) คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2571 จะเหลือโบสอยู่ 5% ที่ยังใช้ทางศาสนา
เมื่อหลายปีที่แล้ว มีโบสถ์หลังหนึ่งที่มีคนซื้อ และดัดแปลงเป็นเธค ซึ่งในสมัยนั้นสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก มีการเต้นรำในเธคทุกคืน และนักข่าวนำมาเผยแพร่เรื่องนี้ จนเป็นเรื่องถกเถียงในคริสตจักร มีบาทหลวงบางท่านถึงขนาดพูดว่า "ถ้าเขาจะเอาอดีตโบสถ์คริสต์มาใช้เป็นเธคในลักษณะนี้ เราไม่ควรเอาโบสถ์คริสต์ไปขายเลย เราควรเผาทุกหลังที่ไม่ได้ใช้แล้วจะดีกว่า" ทั้งนี้ทั้งนั้นในเวลาต่อมาเธคดังกล่าวก็ได้ล้มละลายลง และเลิกกิจการ แต่การเป็นห่วงเป็นไยของชาวดัตช์เกี่ยวกับอนาคตของโบสถ์ก็ไม่ลดลง
สำหรับอาตมาเองได้ข้อคิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เมื่อศาสนาใด ศาสนาหนึ่งไม่สามารถสร้างประโยชน์ได้กับสังคมโดยกว้าง คนในสังคมจะลืมศาสดานั้นอย่างรวดเร็ว การสร้างศาสนา การปลูกฝังหลักธรรมให้แน่นแฟ้นในสังคมอาจใช้เวลาเป็นพันๆ ปี แต่การลืมศาสนา การที่ศาสนาหายจากสังคม ภายในเวลาอันสั้นมาก อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอุทาหรณ์ให้กับศาสนิกชนทุกคนว่า เราไม่ควรเป็นคนสุดท้ายที่ได้ยินเรื่องอริยมรรคมีองค์ 8 แต่ควรปฎิบัติอย่างเอาชีวิตเข้าแลก และนำไปถ่ายทอดกับรุ่นหลังสืบต่อไป